ค่า TDS ที่เหมาะสมสำหรับน้ำดื่ม / วิธีการวัดค่า TDS ของน้ำ

Last updated: 13 ก.ย. 2567  |  869 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ค่า TDS ที่เหมาะสมสำหรับน้ำดื่ม / วิธีการวัดค่า TDS ของน้ำ

ค่า TDS ของน้ำที่เหมาะแก่การดื่ม

     ค่า TDS (Total Dissolved Solids) หมายถึงปริมาณของแข็งละลายทั้งหมดในน้ำ ซึ่งรวมถึงเกลือแร่ โลหะ และสารเคมีต่างๆ ที่ละลายอยู่ในน้ำดื่มที่เราใช้บริโภค ค่า TDS จึงเป็นตัวชี้วัดคุณภาพน้ำที่สำคัญ ค่า TDS ที่สูงเกินไปอาจบ่งบอกว่าน้ำมีการปนเปื้อน ในขณะที่ค่า TDS ที่ต่ำเกินไปอาจหมายความว่าในน้ำขาดแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ มาดูกันว่าค่า TDS ที่เหมาะสมสำหรับน้ำดื่มควรเป็นเท่าใดและทำไมน้ำดื่มที่มีค่า TDS ที่เหมาะสมจึงสำคัญต่อสุขภาพ

1. ค่า TDS คืออะไร?
     TDS หรือ Total Dissolved Solids คือปริมาณของแข็งที่ละลายในน้ำ ซึ่งประกอบไปด้วยแร่ธาตุและสารต่างๆ เช่น แคลเซียม, แมกนีเซียม, โซเดียม, โพแทสเซียม รวมถึงสารปนเปื้อนอื่นๆ เช่น โลหะหนักหรือสารเคมี ค่า TDS ถูกวัดเป็นหน่วย มิลลิกรัมต่อลิตร (mg/L) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ppm (parts per million)

น้ำดื่มที่สะอาดและปลอดภัยควรมีปริมาณแร่ธาตุที่เหมาะสมเพื่อให้ร่างกายได้รับแร่ธาตุที่จำเป็น การควบคุมค่า TDS จึงสำคัญในการกำหนดคุณภาพของน้ำดื่ม

2. ค่า TDS ที่เหมาะสมสำหรับน้ำดื่ม
     ตามข้อแนะนำจากองค์การอนามัยโลก (WHO) และสถาบันมาตรฐานต่างๆ ค่า TDS ที่เหมาะสมสำหรับน้ำดื่มสามารถแบ่งออกเป็นระดับต่างๆ ดังนี้

  • ต่ำกว่า 50 mg/L: น้ำมีความบริสุทธิ์สูงมากหรืออาจผ่านการกรองที่มีประสิทธิภาพสูง เช่น ระบบ Reverse Osmosis (RO) แต่ค่า TDS ที่ต่ำมากๆ อาจทำให้ขาดแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย
  • 50-150 mg/L: น้ำดื่มที่มีคุณภาพดี มีแร่ธาตุที่เหมาะสมสำหรับการบริโภค ค่า TDS ในระดับนี้เป็นที่ยอมรับในแหล่งน้ำดื่มบรรจุขวดที่ดี
  • 150-300 mg/L: น้ำดื่มที่มีค่า TDS อยู่ในช่วงนี้ยังคงปลอดภัยสำหรับการดื่ม และถือว่าเป็นระดับที่เหมาะสมในหลายประเทศ
  • 300-500 mg/L: น้ำที่มีค่า TDS ในระดับนี้ยังถือว่าเป็นน้ำที่เหมาะสมสำหรับการดื่ม แต่อาจเริ่มมีรสชาติที่เปลี่ยนไปหรือมีปริมาณแร่ธาตุสูง
  • 500-1,000 mg/L: น้ำในระดับนี้เริ่มมีแร่ธาตุและสารแขวนลอยมากขึ้น ซึ่งอาจไม่เหมาะสำหรับการดื่มในระยะยาว
  • สูงกว่า 1,000 mg/L: น้ำที่มีค่า TDS สูงกว่านี้ไม่แนะนำให้บริโภค เนื่องจากอาจมีปริมาณของสารปนเปื้อนมากเกินไป เช่น โลหะหนักหรือสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

3. ค่า TDS ต่ำเกินไปหรือสูงเกินไปส่งผลอย่างไรต่อร่างกาย?
  • ค่า TDS ต่ำเกินไป: น้ำที่มีค่า TDS ต่ำกว่า 50 mg/L มักผ่านการกรองขั้นสูงมากจนแร่ธาตุที่มีประโยชน์ในน้ำถูกกำจัดออกไป เช่น แคลเซียมและแมกนีเซียม การดื่มน้ำที่ขาดแร่ธาตุเหล่านี้ในระยะยาวอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นต่อการทำงานของระบบต่างๆ
  • ค่า TDS สูงเกินไป: น้ำที่มีค่า TDS สูงกว่า 500 mg/L อาจมีการสะสมของสารปนเปื้อน เช่น โลหะหนัก (ตะกั่ว ปรอท) และสารเคมี ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพเมื่อดื่มในระยะยาว นอกจากนี้ ค่า TDS ที่สูงยังทำให้น้ำมีรสเค็มหรือรสขม ซึ่งไม่เป็นที่พึงประสงค์สำหรับการดื่ม


4. ประโยชน์ของการควบคุมค่า TDS ในน้ำดื่ม
     การควบคุมค่า TDS ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาคุณภาพน้ำดื่มที่ดี การมีแร่ธาตุในน้ำดื่มจะช่วยสนับสนุนสุขภาพของระบบต่างๆ ในร่างกาย เช่น ระบบกระดูกและระบบประสาท ในขณะที่การป้องกันไม่ให้น้ำมีสารปนเปื้อนมากเกินไปก็จะลดความเสี่ยงจากการรับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย

5. วิธีการวัดค่า TDS ของน้ำ
     ค่า TDS สามารถวัดได้โดยใช้ เครื่องวัดค่า TDS ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่สามารถวัดค่าความนำไฟฟ้าของน้ำและแปลงเป็นหน่วย TDS ได้โดยอัตโนมัติ การใช้เครื่องวัดนี้จึงช่วยให้คุณตรวจสอบคุณภาพของน้ำที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายๆ เพียงแค่จุ่มหัวเซ็นเซอร์ของเครื่องวัดลงในน้ำ จากนั้นจะแสดงค่า TDS บนหน้าจอทันที

สรุป
     ค่า TDS ของน้ำที่เหมาะสมสำหรับการดื่มควรอยู่ในช่วง 50-300 mg/L ซึ่งเป็นระดับที่ยังคงมีแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ในน้ำ ในขณะเดียวกันควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำที่มีค่า TDS สูงเกิน 500 mg/L เนื่องจากอาจมีสารปนเปื้อนที่ไม่ปลอดภัย การตรวจสอบและรักษาคุณภาพน้ำให้มีค่า TDS ที่เหมาะสมจะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีจากการดื่มน้ำที่สะอาดและปลอดภัย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้